Monday, January 28, 2013

ข้อดีและอานิสงส์ของการสวดมนต์

การสวดมนต์นั้นมีอานิสงส์ดังนี้
 
๑. สามารถไล่ความขี้เกียจ เพราะขณะสวดมนต์ อารมณ์เบื่อ เซื่องซึม ง่วงนอน เกียจคร้านจะหมดไป และเกิดความแช่มชื่นกระฉับกระเฉงขึ้น

 
๒. เป็นการตัดความเห็นแก่ตัว เพราะในขณะนั้นอารมณ์จะไปหน่วงอยู่ที่การสวดมนต์อย่างตั้งใจ ไม่ได้คิดถึงตัวเอง ความโลภ โกรธ หลง จึงมิได้เกิดขึ้นในจิตตน


๓. เป็นการกระทำที่ได้ปัญญา ถ้าการสวดมนต์โดยรู้คำแปล รู้ความหมาย ก็ย่อมทำให้ผู้สวดได้ปัญญาความรู้ ไปด้วย


๔. มีจิตเป็นสมาธิ เพราะขณะนั้นผู้สวดต้องสำรวมใจแน่วแน่ มิฉะนั้นจะสวดผิดท่อนผิดทำนอง เมื่อจิตเป็นสมาธิ ความสงบเยือกเย็นในจิตจะเกิดขึ้น


๕. เปรียบเสมือนการได้เฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะขณะนั้นผู้สวดมี กาย วาจา ปกติ (มีศีล) มีใจแน่วแน่ (มีสมาธิ) มีความรู้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า (มีปัญญา) เท่ากับได้เฝ้าพระองค์ด้วยการปฏิบัติบูชา ครบไตรสิกขาอย่างแท้จริง


และในวิมุตติสูตรได้กล่าวว่า การสาธยายมนต์คือเหตุหนึ่งในวิมุตติ ๕ ประการ (เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการ คือ การฟังธรรม การเทศน์ การสวดมนตร์สาธยาย และการคิดอย่างแยบคาย ) ดังมีว่า


...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง พระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะครูบางรูป ก็ไม่ได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ แม้ภิกษุก็ไม่ได้แสดงธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร ก็แต่ว่าภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร เธอย่อมเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรมในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร เมื่อเธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจเกิดปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น


ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มี
ใจเด็ดเดี่ยว ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมได้บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ที่ยังไม่ได้บรรลุ



เรื่องการสวดมนต์ ได้กล่าวถึงเหตุผลของการสวดมนต์ไว้ว่า


๑. เป็นการรักษาธรรมเนียม ประเพณีที่ดีให้คงอยู่


๒. เป็นการแสดงความเคารพบูชาพระรัตนตรัย


๓. เป็นการเชื่อมสามัคคีในหมู่คณะ ครบไตรทวาร


๔. เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน


๕. เพื่อฝึกกายใจให้เข็มแข็งอดทน


๖. เพื่อดำรงรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทยไว้


๗. เพื่ออบรมจิตใจให้สะอาด สงบ สว่าง


๘. เพื่อฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ่งซ่าน


๙. เพื่อเป็นการทบทวนพระพุทธพจน์



และกล่าวถึงประโยชน์ของการไหว้พระสวดมนต์ไว้ว่า...


๑. เป็นการเสริมสร้างสติปัญญา


๒. เป็นการอบรมจิตใจให้ประณีตและมีคุณธรรม


๓. เป็นสิริมงคล แก่ชีวิตตน และ บริวาร


๔. เป็นการฝึกจิตใจให้มีคุณค่าและมีอำนาจ


๕. ทำให้มีความเห็นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา


๖. เป็นการรักษาศรัทธาปสาทะของสาธุชนไว้


๗. เท่ากับได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแม้ปรินิพพานแล้ว


๘. เป็นเนตติของอนุชนต่อไป


๙. เป็นบุญกิริยา เป็นวาสนาบารมี เป็นสุขทางใจ
 
ที่มาจาก www.palungjit.com

Sunday, January 6, 2013

การใช้ชีวิตและการศึกษาต่อที่ออสเตรเลีย



บ่อยครั้งที่ผมได้รับคำถามจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่เมืองไทย ว่าอยู่ที่ออสเตรเลียเป็นยังไงบ้าง แล้วถ้าจะไปเรียนหรือไปทำงานต้องทำอย่างไรบ้าง เตรียมเอกสารอะไรบ้าง แล้วก็ตามด้วย คำถามอีกหลายคำถามจำพวกว่า "จริงหรือเปล่าว่า .... " หรือไม่ก็ "คนที่รู้จักเคยไปออสเค้าเล่าให้ฟังว่า ..... " อะไรประมาณนี้ ในฐานะที่ตัวผมเองก็ผ่านร้อนผ่านหนาวในแดนจิงโจ้นี้ ใช้ชีวิต (แบบคนปกติที่นี่เค้าใช้กัน) มาสิบปีเศษๆ โดยเริ่มจากพอจบม. 6 แล้วสอบโรงเรียนนายร้อยไม่ติด เลยขอพ่อมาเรียนต่อเมืองนอกโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะไปทำไมวะ ? ออสเตรเลียเพราะนอกจากจิงโจ้และโคอล่าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้เลย อยู่มาจนเรียนจบ ทำงาน และก็ได้เป็นประชากรของที่นี่เสียภาษีอย่างถูกกฏหมาย ทำงานมาก็หลายอย่าง เคยร้องไห้ก็มี ท้อก็เยอะ แต่ส่วนใหญ่จะสุข และก็ผ่านมาได้ เที่ยวมาเกือบทุกรัฐในประเทศนี้เว้นเสียแต่  WT และ NT ที่ไม่เคยเหยียบ รู้จักผู้คนมากมายหลากหลายอาชีพและเชื้อชาติ เทพๆก็เยอะ ห่วยๆก็แยะ เพราะฉะนั้นผมเลยมาคิดว่า น่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับประเทศนี้บ้างซึ่งมันก็เป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของผม เผื่อเนื้อหามันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อยากจะมาศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลียนี้ก็เป็นได้
ในเรื่องของการมาศึกษาต่อที่ออสเตรเลียนั้น ผมคงไม่ลงไปลึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยว่าควรจะเรียนที่ไหน คอร์สอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเอเจ้นท์นักเรียนเค้าดีกว่า ไว้ท้าย blog นี้เดี๋ยวผมจะทิ้ง website ของเอเจ้นท์ดีๆไว้ให้ แต่หากท่านใดสนใจที่จะมาเที่ยวที่แดนจิงโจ้นี่ คอยติดตาม blog ผมไว้นะครับ โอกาสหน้าจะทำเป็น Trip itinerary มาให้ท่านอ่าน



ขั้นตอนการมาศึกษาต่อที่ออสเตรเลีย

  1. ให้ถามตัวเองก่อนว่าจะมาเรียนหรือมาทำงาน ข้อนี้สำคัญมากนะครับเพราะคนไทยที่นี่แบ่งออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆเลย คือตั้งใจมาเรียนจริงๆ ทำงานขำๆ เอาค่าขนม กับพวกที่ตั้งใจมาขุดทอง ในส่วนของพวกหลังนี่ผมเองก็รู้จักหลายท่านที่ได้วีซ่านักเรียนมาแล้วถือโอกาสนั้นมาทำงาน โรงเรียนก็ไปบ้างโดดบ้าง จนถูก immigration ส่งกลับไทยไปก็เยอะ หรือไม่ก็หนีจนกลายเป็นผี (ศัพท์เทคนิคเรียกพวกขาดวีซ่า) ก็มี
  2. เตรียมเอกสาร ใบ transcript เป็นภาษาอังกฤษ, bank statement ให้มีเงินสะพัดในบัญชีประมาณ 6 - 12 เดือน ขอสัก 6 แสนกำลังดี หรืออาจจะให้ญาติพี่น้องsponsor มาก็ได้
  3. เลือกที่เรียน ในข้อนี้ผมขอแนะนำให้หาข้อมูลผ่านเน็ตเยอะๆหรือปรึกษาขอความช่วยเหลือจากพวกเอเจ้นท์นักเรียน ซึ่งจะช่วยเราได้เยอะมาก เพราะเค้าจะช่วยเราเตรียมเอกสาร เลือกที่เรียน ติดต่อประสานงานกับทางสถานฑูตและทางสถานศึกษาให้เรา และยังช่วยจัดหาตั๋วเครื่องบินและที่พักในเบื้องต้นให้ อย่างตัวผมตอนมาที่นี่ใหม่ๆ ก็ได้พี่เอเจนท์เนี่ยแหละครับ ช่วยให้การปรับตัวง่ายขึ้น เพราะเมื่อสิบปีที่แล้วคนไทยในซิดนีย์นับหัวได้เลยครับ
  4. ตรวจร่างกาย การตรวจสุขภาพ จะต้องกระทำโดยผู้สมัครกรอก แบบฟอร์ม 26 & 160 และพบแพทย์ที่ระบุชื่อจากโรงพยาบาลต่างๆ ที่อยู่ในรายชื่อ ที่ได้รับการอนุมัติให้ตรวจ โดยแผนกวีซ่า ของสถานทูตออสเตรเลีย ทางโรงพยาบาลจะจัดส่งผลการการตรวจให้สถานฑูตโดยตรง แล้วอย่าลืมเก็บใบเสร็จไว้ด้วย เพราะต้องใช้เวลาขอวีซ่า
  5. จ่ายเงินค่าเรียน - หลังจากที่เราสมัครเรียนกับทางสถานศึกษาแล้ว เค้าจะออกใบ offer มาให้ แล้วเราก็โอนเงินไปเป็น bank draft หรือแล้วแต่ทางเค้าจะแนะนำมา
  6. ได้ใบ COE ใบนี้สำคัญมาก เพราะ COE ย่อมาจาก copy of enrolment มันคือใบตอบรับจากทางสถานศึกษาว่าเราได้ไปสมัครเรียนกับเค้าจริงๆ และเราจะได้นำใบนี้ไปยื่นขอวีซ่าได้
  7. ขอ student visa ขั้นตอนนี้ผมขอแนะนำให้พวกเอเจ้นท์ทำให้จะสะดวกมาก เพราะเค้าจะมี check list เอกสารมาให้เราเตรียมไปยื่นที่สถานฑูต หลักๆก็ได้บอกไปแล้ว transcript, COE, ใบเสร็จโอนเงิน, ใบเสร็จตรวจร่างกาย, bank statement ในบางครั้งทางสถานฑูตเค้าอาจจะขอเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งถ้าเรามีเจตนาที่ตั้งใจมาเรียนจริงๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
  8. visa ผ่าน เตรียมตัวเดินทาง  ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงต้องบอกให้เอาน้ำพริกกับสบู่นกแก้วมาด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไทยทาวน์เรามีทุกอย่างครับ สะตอยันปลาร้าเรามีครบ ไม่ต้องแบกมาให้หนัก เตรียมมาแค่ dictionary กับเสื้อกันหนาวก็พอ (ช่วงเมษาถึงตุลา) หากมีเวลาเหลือ ก็แนะนำให้หาคอร์สเรียนภาษาสั้นๆ ภาษาอังกฤษนะครับไม่ใช่เกาหลี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้พอสมควร
    ถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ก็เตรียมพร้อมเดินทางสู่ดินแดนที่คนที่นี่เรียกว่า " The land down under " และใน blog หน้าผมจะมาบอก tips ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขอยู่รอดปลอดภัยและตักตวงความเป็นออสเตรเลียให้เต็มที่



ขอบคุณที่แวะเข้ามาครับ

TDMS

ปล. ผมขออณุญาติทิ้ง website ของเอเจ้นท์นักเรียนและ website สำคัญๆให้เข้าไปอ่านเพื่อจะได้ทำความรู้จักกับประเทศนี้มากขึ้น

เอเจนท์นักเรียน




การใช้ชีวิตในออสเตรเลีย







Sunday, December 30, 2012

สวัสดีปีใหม่ 2013


เตรียมบอกลาปีเก่าที่กำลังจะผ่านพ้นไปอย่างไม่ค่อยอาลัยอาวรณ์นัก
เพราะรู้สึกว่าปีนี้มันมาไวไปเร็วมากจนผมไม่ทันได้ตั้งตัวสักเท่าไร เหมือนกับว่าเพิ่งฉลองต้อนรับปีมังกรได้ไม่นานเท่าไหร่ ไอ้เจ้าปีมะเส็งก็มาจ่อรอคิว party ซะแล้ว
ผมมี projects มากมายในปีนี้ที่ได้แต่คิด แต่ยังไม่ได้เริ่มทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างเสียที ไอ้ที่เริ่มปั้นเอาไว้ บ้างก็ทรง บ้างก็ทรุด ต้นปีหน้าคงได้นำพวกมันมาปัดฝุ่นปัดหยากไย่กันอีกครั้ง และมันก็ทำให้ตัวผมเองรู้ซึ้งถึงว่าคำว่า "เวลา" นี้มันไม่เคยคอยท่าใครเลยจริงๆ เผลอๆแป๊บเดียว มันผ่านไปอย่างไม่ใยดีเราเลย เพราะฉะนั้น พอมันอยู่กับเราจงเอาเสียให้คุ้ม อย่าไปทำอะไรที่มันฆ่าเวลาเลยครับ เพราะยังไง๊เวลามันก็ฆ่าเราอยู่วันยังค่ำแหละครับ ผมชอบคำคนจีนที่เค้าสอนลูกหลานเค้าว่า "สิ่งที่คนเราเกิดมาแล้วมีเท่ากันคือ เวลา แต่จะใช้เท่ากันหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง" แต่ถ้าพูดตามความจริงแล้วผมก็ใจจดใจจ่อรอไอ้เจ้าปี 2013 นี้เหมือนกันนะ เพราะเหตุการณ์สำคัญๆหลายอย่างที่มันกำลังจะเกิดขึ้นและแพลนบางอย่างที่วางไว้เมื่อต้นปี 2012 จะมาเสร็จสมบูรณ์ในปีมะเส็งนี้ ซึ่งผมก็ภาวนาว่ามันจะผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดีมีชัย
โบราณท่านก็สอนเราไว้ว่า เริ่มต้นปีใหม่นี้ให้เริ่มคิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ เหมือนกับว่าให้ถือโอกาสในปีใหม่นี้เริ่มต้นแก้ตัวกันเสียใหม่ อะไรๆที่มันไม่ดี ไม่น่าจำก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่าได้มาติดอกติดใจกับมันอีกให้มันเสียเวลาเรา ทางฝรั่งเขาก็มีคติความเชื่อในเรื่องการเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่เหมือนกัน เรียกว่า new year's resolutions ก็ทำนองว่าปีใหม่ปีนี้เราจะทำอะไรให้สำเร็จให้มันแตกต่างจากปีที่ผ่านมาบ้าง เช่น ตั้งใจลดน้ำหนัก, หารายได้เสริม, เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ หรือแม้กระทั่งเลิกออกเดทกับพวกเซเลบหรือพวกไฮโซไฮซ้อต่างๆ ซึ่งไม่ว่าท่านจะคิดทำอะไรใหม่ผมก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น เพราะมันเหมือนกับตัวกระตุ้นให้เรามีลูกฮึดอีกครั้ง แต่จะทำสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหนนั้นคงจะต้องขึ้นอยู่กับความพยายามล่ะ แต่แค่เริ่มต้นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วละครับ
ในเรื่องของการเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่ไม่ว่าที่ไหนๆ ประเทศไหนๆก็คึกคักเตรียมตัวจุดพลุส่งท้ายปีเก่าด้วยกันทั้งสิ้น อย่างที่ Sydney นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ทั่วโลกต่างจับจ้องรอดูความอลังการดาวล้านดวงของพลุปีใหม่ที่ถูกจุดที่ Harbour bridge และวิวของ Opera house ที่รัฐเค้ารู้ดีว่าจะเป็นจุดขายของการท่องเที่ยวต่อสายตาชาวโลก จึงเทงบมาเนรมิตให้ new year countdown ที่ Sydney เป็น hightlight ของปีเลยทีเดียว ในส่วนของตัวผมนั้นคงไม่ไปยืนรอเป็นวันเพื่อจับจองทีนั่งและต้องเบียดเสียดกับคนหลักแสนเพื่อที่จะรอดูพลุหรอกครับ ขออยู่บ้านกับครอบครัวสวดมนต์นั่งสมาธิข้ามปีเพื่อความเป็นสิริมงคลและเอาฤกษ์เอาชัยดีกว่าครับ
                                                   (image from internet)
ในปี 2013 นี้ผมก็มีความตั้งใจว่าจะเขียน blog ให้ได้อาทิตย์ละครั้ง ยกเว้นช่วงที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ ก็คงต้องขอฝากไว้ก่อน แล้วในส่วนของตัว blog TDMS ของตัวกระผมนั้น จะพยายามปรับปรุงให้มันดูน่าอ่าน น่าเข้ามาเยี่ยมมากขึ้น ท่านทั้งหลายจะได้ไป share กันได้ แต่เนื่องด้วยไอ้ตัวกระผมมิใช่ทศกัณฑ์และมีเพียงแค่สองมือ จึงจะพยายามทำออกมาให้มันดูดีที่สุดเท่าที่ "เวลา" และ "ความสามารถ" จะอำนวยนะครับ เพราะฉะนั้นหากมีข้อชี้แนะติชมก็ email มาเลยครับ
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในเรื่องของ TDMS ปีนี้ค่อนข้างชัดเจนครับ จากปีที่แล้วว่าจะเขียนเอามันส์ ระบาย ถ่ายเทอย่างเดียวและไม่มีแบบแผน (เพราะไม่ได้จริงจัง) ตายตัว บวกกับเวลาไม่มีเหลือแบ่งมาให้ ทำให้เขียนไปได้ 4 เรื่องถ้วน !!! ครับ ครับ พอแล้วครับ ไม่ต้องปรบมือ TT
มาในปีนี้ผมได้เตรียมแผนที่จะ surprise ท่านที่คอยติดตามคอยเข้ามา share blog TDMS ของผมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีหน้านี้ แต่จะเป็นอะไรนั้นผมขออุบไว้ก่อน ผมบอกใบ้ได้คำเดียวว่า คนที่ได้ surprise ไปมี "ยิ้มไม่หุบ" แน่นอนครับ ก็ขอให้ติดตามกันต่อไป
สุดท้ายนี้แต่ไม่ท้ายสุด ก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน TDMS หรืออาจจะหลงเข้ามาเยี่ยมชม blog ของผม ให้มีแต่ควาาสุข เจริญในทรัพย์และหน้าที่การงาน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ครอบครัวร่มเย็นและคิดหรือหวังสิ่งใด ก็ขอให้สมปรารถนาดั่งที่หวังไว้ทุกประการครับ
Happy new year 2012 :)

TDMS 

Tuesday, October 2, 2012

เทคนิคการเก็บเงิน 6 กอง และการลงทุนแบบมนุษย์เงินเดือน




เรื่องการเก็บเงินโดยการแบ่งเงินออกเป็น 6 กองนี้ ผมได้เกริ่นนำไว้ใน blog ที่แล้ว ซึ่งเรื่องเงิน 6 กองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด และมีผู้เขียนถึงเรื่องนี้หลายท่านไม่ว่าจะทั้งไทยหรือเทศ แต่มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ผมแนะนำให้ท่านไปหามาอ่าน หนังสือนี้มีชื่อว่า บริหารเงินเก็บผ่านกองทุนรวม” เขียนโดย คุณมนตรี แสวงเดชา ซึ่งอธิบายเรื่องการลงทุนในแบบต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ แต่เนื้อหาจะเน้นหนักไปในเรื่องของการลงทุนแบบกองทุนรวมเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมอ่านแล้วคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในการลงทุนเบื้องต้นเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ค่าเงินเฟ้อทั่วโลกมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นทุกปี เป็นเหตุให้หากยังจะฝากเงินไว้กับธนาคารแล้วสวดมนต์ภาวนาว่าขออย่าให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อเลย เห็นท่าพระเจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยละคราวนี้
ต้องยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังติดกับความคิดที่ว่าการลงทุนเป็นเรื่องของคนรวยหรือพวกเศรษฐี ผมเองก็เช่นเดียวกันเมื่อก่อน ในความเป็นจริงแล้วในปัจจุบันมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆท่านๆ ก็สามารถลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนหลักพันหรือหมื่นต้นๆ ผ่านกองทุนรวม รายละเอียดผมขอให้ท่านไปศึกษาเพิ่มเติมดีกว่าเดี๋ยวจะทิ้ง websites ไว้ให้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะยาว

โดยนิสัยคนไทยเราแล้ว เรื่องดีคือเราชอบออมเงินไว้เผื่อในยามฉุกเฉิน หรือทิ้งเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่สมัยนี้หากเราจะมารอหวังให้ลูกหลานมาเลี้ยงดูเราในยามเฒ่าแชรแก่ชราเห็นท่าจะยาก ขอพึ่งตัวเองก่อนจะดีกว่า และถ้าจะหวังว่าวันหนึ่งประเทศสยามของเราจะมีสวัสดิการดีๆเพื่อผู้สูงอายุเหมือนกับบางประเทศ อันนี้คงจะเป็นเรื่องยากเหมือนกัน แต่อ่ะนะ อะไรก็เกิดขึ้นได้แต่ผมคงไม่รอล่ะครับ และยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้ก้าวล้ำไปมาก คนเราก็มีอายุยืนขึ้น ซึ่งแน่นอนชีวิตหลังเกษียญก็ต้องยาวนานยิ่งขึ้น คุณคงต้องเลือกแล้วล่ะว่า คุณอยากให้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของคุณเป็นแบบใด ???

การแบ่งเงินออกเป็น 6 กองนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมาแบ่งสรรปันส่วนให้ในจำนวนเท่าๆกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์หรือความต้องการของแต่ละบุคคล วิธีเก็บเงิน 6 กองนี้ผมได้ประยุกต์และปรับปรุงมาจากแหล่งข้อมูลหลายๆแห่ง ให้เหมาะสมกับตัวผมเอง ซึ่งคุณผู้อ่านอาจจะไปปรับเปลี่ยนให้มันสอดคล้องกับตัวคุณเองก็ได้

เงินกองแรก -  กองทุนเพื่อยามฉุกเฉิน
เงินก้อนนี้ควรที่จะเป็นก้อนแรกที่คุณควรจะเก็บให้ได้ เพราะมันเป็นเหมือนกับบ่อน้ำมันบ่อสุดท้ายที่คุณจะขุดออกมาใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ แต่ทางที่ดีที่สุดภาวนาว่ามันคงไม่มีเหตุการณ์ให้เราต้องมาแคะกระปุกเอาเงินก้อนนี้ออกมาใช้ แต่หากโชคชะตาเล่นตลก เกิดเหตุที่เราไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราจะได้ไม่ตกที่นั่งลำบาก ฝรั่งเค้าพูดว่า "ในวันที่ฝนตก คุณจะได้ไม่ต้องเปียกปอน"
วิธีเก็บเงินก้อนนี้ - เวลามีรายได้เข้ามา ผมสมมติว่าเป็นเงินเดือนละกัน ให้พยายามที่จะเก็บเงินก้อนนี้ให้ได้ 4 - 6 เท่าของเงินเดือนคุณ จะรีบเก็บให้ได้เร็วที่สุดหรือทยอยเก็บให้ครบก็ได้ แต่อย่าให้นานเกินไป สมมติว่าถ้าได้เงินโบนัสมา ก็รีบมาโปะให้ครบ แล้วพอได้ครบจำนวนตามที่ต้องการแล้ว ก็ไปเปิดบัญชีฝากไว้กับธนาคารเลือกเอาบัญชีที่เราสามารถถอนออกมาเมื่อไรก็ได้ และดอกเบี้ยดีหน่อย แล้วปล่อยให้ดอกเบี้ยมันทำงานของมันไปเรื่อยๆ บางทีเงินก้อนนี้ในชั่วชีวิตคุณ คุณอาจจะไม่ต้องใช้มันเลยก็ได้ ลองคิดดูเล่นๆละกัน ผมสมมติว่าเงินออมยามฉุกเฉินของคุณคือ 60000 บาท ดอกเบี้ยธนาคารต่อปีที่คุณหามาได้ตก 3 % ต่อปี แล้วคุณก็ปล่อยทิ้งไว้เลยโดยที่คุณไม่ฝากเงินเพิ่ม แล้วพอคุณเกษียญค่อยถอนออกมา สมมติว่าอีกสัก 30 ปีละกัน ด้วยพลังของดอกเบี้ย เงินก้อนนี้จะกลายเป็น 145,635 บาทโดยที่คุณแค่ปล่อยทิ้งไว้ ปล. ผมสมมติว่าเงินเฟ้อเป็นศูนย์

เงินกองที่สอง - กองทุนร่ายจ่ายในชีวิตประจำวัน
เงินก้อนนี้จะเป็นเงินก้อนที่เราสามารถควบคุมและกำหนดได้ เช่นค่าใช้จ่ายในบ้านต่างๆ ค่ากิน ค่าเดินทาง บางท่านอาจมีค่าบ้าน และค่าส่งรถ ซึ่งผมถือว่ารายจ่ายในเงินกองนี้ค่อนข้างหนัก แต่หากเราสามรถที่รัดเข็มขัด งดสิ่งของฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นทิ้งซะ งดเเที่ยวกลางคืน เหล้า บุหรี่ งดซื้อของ brand name ต่างๆ แทนที่จะทานข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละครั้ง ก็หัดทำกับข้าวกินเองที่บ้านจะประหยัดได้มากแถมสนุกอีกต่างหาก ผมพูดให้ฟังอย่างไม่อายเลยว่า ผมห่อข้าวกลางวันไปกินที่ทำงานมาเกือบ 3 ปีแล้ว chilled จะตายคุณเอ๋ย หากคุณละจากสิ่งยั่วยุพวกนี้ได้ รับรองคุณจะมีเงินเก็บมากขึ้นอย่างแน่นอน

ส่วนตัวผมเอง พยายามที่จะจำกัดเงินกองนี้ให้ต่ำกว่า 35 - 40% ของรายได้ อะไรที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตมากนัก ผมพยายามจะตัดออกให้มากที่สุด อย่างคนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมไม่ได้มีโทรศัพท์ราคาแพงใช้ ขับรถญี่ปุ่นธรรมดา ไม่ได้เป็นเมมบ้ง เมมเบอร์ ตาม fitness ต่างๆ คือผมมองว่ามันไม่ได้จำเป็นอะไร และไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ในกระแสหรือไม่ เพราะเวลาคุณลำบากลำบนหรือกู้หนี้ยืมสินไปซื้อของเหล่านี้มาประดับบารมี คนเหล่านั้นไม่ได้มาช่วยคุณซักเหรียญเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจะย้ำนักย้ำหนาว่า อะไรก็ตามที่จ่ายเพื่อก่อหนี้สิน หรือไม่มีมูลค่าตามความเป็นจริง อย่าได้หลงไปกับมันเด็ดขาด ผมไม่อายด้วยซ้ำที่จะเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วสมัยมีบัตรเครดิตใหม่ๆ คือตอนนั้นยังเด็ก คิดว่าตัวเองเจ๋ง เงินเดือน start $2500 ธนาคารให้วงเงิน $9000 คุณเอ๋ย !! เด็กอย่างผมเพิ่งเริ่มทำงาน office เริ่มเข้าสังคม ไม่ถึง 2 เดือน ผม maxed out วงเงินที่มี ร้านไหนหรูใน Sydney ผมตระเวนกินมาหมด แล้วคิดว่า ช่างมันเหอะเดี๋ยวค่อยทยอยจ่ายก็ได้ อนิจจา ราชาเงินผ่อน คุณเชื่อไหมว่า จ่ายยังไงก็สู้ดอกเบี้ยไม่ได้ ร้อยละ 19.50 จุกสิครับพี่น้อง ไม่กล้าบอกที่บ้านกลัวพวกท่านจะลมใส่ เลยกัดฟันจ่ายเงินเรื่อยมาจนหมด แล้วช่วงนั้นถือเป็นบทเรียนชีวิตที่เงิน $9000 ซื้อมาเกินคุ้มจริงๆ ได้เห็นใบทวงหนี้จากธนาคาร ว่าจะเอาเราขึ้นศาล ได้รับโทรศัพท์โทรเร่งรัดหนี้ ได้เข้าไปเจรจาขอผ่อนหนี้ และพบปะกับคนที่ตกที่นั่งเหมือนกับเราหลายท่าน จนทำให้เรามีแรงใจเริ่มเก็บเงินไปด้วยและทยอยจ่ายหนี้ไปด้วย ใช้เวลาจ่ายอยู่เกือบ 2 ปีจนหมด ทุกวันนี้ ยังเก็บบัตรเครดิตใบแรกและใบสุดท้ายนี้เตือนใจเสมอ ว่าถ้าไม่มีเงินสดซื้อ อย่าซื้อเด็ดขาด เพราะว่าชีวิตที่ไม่เป็นหนี้ใคร นี่มันบรมสุขเลยนะคุณ เรื่องเป็นหนี้บัตรเครดิตนี้ ไว้โอกาสหน้ามาเล่าให้ฟังละกัน เริ่มจะออกแนวดราม่าและ

วิธีเก็บเงินก้อนนี้ ผมจะเปิดบัญชี saving แยกต่างหาก มันจะได้ไม่ปนกับเงินกองอื่น โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงดอกเบี้ยมากนัก เอาแค่ที่มันสะดวกเราก็พอ และจดประสงค์หลักคือหากผมมีเงินเหลือเก็บจากเงินกองนี้ผมจะได้ไปทำอย่างอื่นได้อีก

เงินกองที่สาม - กองทุนหลังจากเกษียญ
เงินกองนี้ผมจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะผมอยากเกษียญตอนอายุ 50 ปี ถ้าทำได้ ผมเริ่มคิดถึงเรื่องเกษียญอย่างจริงจังมาในช่วง 3 ปีนี้ เพราะผมเห็นตัวอย่างมากมายจากคนที่รายได้ไม่สูงมากแต่เตรียมตัวตั้งแต่อายุยังน้อย เกษียญอายุด้วยเงินหลักล้านเหรียญ หรือคนรายได้สูงมาก แต่บั้นปลายชีวิตกลับไม่เหลืออะไรเลย และผมไม่อยากเป็นแบบนั้นและผมก็เชื่อว่าไม่มีใครอยากจะจบไม่สวยหรอก คือผมอยากมีบั้นปลายชีวิตที่สุขสบาย ไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้า ขอแค่พอมีกินสบายๆ ไม่ต้องลำบากลูกหลาน อยู่ที่ไหนสักที่ทางภาคเหนือของไทยที่มันเงียบสงบ เข้าวัดทำบุญตามประสา แต่อย่างว่าแหละครับ อนาคตมันเป็นเรื่องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่นี่คือเป้าหมายระยะยาวที่สุดของผมและภรรยาจะทำให้ได้ บางคนอาจคิดว่า ยังหนุ่มยังแน่นมาคุยเรื่องเกษียญอายุ ไม่ไกลตัวไปหน่อยหรือ ผมว่าไม่นะครับ ถ้าคุณยังมองเห็นอยู่แค่วันเงินเดือนออก โดยที่ไม่มองไปให้ไกลกว่านั้น คุณจะไม่มีวันสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้เลย เพราะฉะนั้นเริ่มมองภาพตัวเองเกษียญอายุเสียตั้งแต่วันนี้นะครับ
วิธีเก็บเงินก้อนนี้ - ผมจะกันเงิน 20 % ของเงินเดือนผมเข้าไปในบัญชีที่จ่ายดอกเบี้ยสูง และห้ามถอนเป็นระยะเวลา 1 ปีเป็นอย่างต่ำ คือผมจะไม่เสี่ยงเลยกับเงินก้อนนี้ บางคนก็แนะนำให้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี หรือลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อการลดหย่อนภาษี แต่ผมเป็นพวกใจปลาซิวกับเงินก้อนนี้ ผมพยายามที่จะไม่ให้มีความเสี่ยงเลยดีกว่า ที่ออสผมเลือกฝากเงินผมใน term deposit ของธนาคาร เขาจะห้ามเราถอนเงินเป็นระยะเวลาเท่าไรก็แล้วแต่ option ผมเลือกฝากแค่ปีต่อปี เพราะไม่รู้ว่าจะกลับไทยเมื่อไหร่ ในส่วนของดอกเบี้ย 5.5% ซึ่งนับว่าไม่เลว ในส่วนของที่เมืองไทยผมไม่ทราบจริงๆ ว่ามี option ใดบ้าง รายละเอียดอย่างไร ซึ่งผมอยากให้ทุกท่านไปศึกษาหาความรู้เรื่องนี้กันเอาเอง ในส่วนของ concept ผมว่ามันคงจะคล้ายๆกัน ว่างๆคุณลองเดินดุ่มๆเข้าไปในธนาคารใดก็ได้ที่คุณชอบ ไม่ต้องมีพีธีรีตอง แต่งตัวให้สุภาพหน่อยเพื่อความน่าเชื่อถือ แล้วถามเขาเลยว่า "ผมวางแผนจะลงทุนเพื่อการเกษียญ มี options อะไรให้ผมอ่านหรือแนะนำบ้าง" เชื่อผมเถอะครับ แล้วคุณจะได้รู้สึกว่า คุณเป็นนายของธนาคารเพียงแค่คำถามพื้นๆเหล่านี้

เงินกองที่สี่ - กองทุนเพื่อความฝัน
ผมเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน ฝันอยากจะมีบ้าน ฝันอยากจะมีธุรกิจของตัวเอง ฝันอยากไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ฝันที่จะเที่ยวรอบโลก ซึ่งเงินก้อนนี้แหละครับที่จะทำให้คุณกล้าที่จะฝัน ในส่วนที่จะทำให้ฝันคุณเป็นจริงไหม มันขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วครับ เงินในกองนี้จะเก็บมากน้อยเท่าไร มันอยู่ที่วัตถุประสงค์ของคุณ คุณอาจจะซอยย่อยไปเหมือนผมก็ได้ เช่น เพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งผมจะเน้นมากเป็นพิเศษ หลายปีก่อนได้เป็นอาสาสมัครไปทำความสะอาดบ้านพักคนชรา แถวๆ North Sydney ได้มีโอกาสคุยกับคุณปู่ท่านหนึ่ง แกเล่าให้ผมฟังว่า หากย้อนเวลาไปได้ จะขอท่องเที่ยวให้มากกว่านี้ เสียดายเวลาที่ผ่านมาทำแต่งาน ซึ่งผมถอดหมวกคารวะเห็นด้วยกับความจริงข้อนี้ เพราะผมเชื่อว่า การท่องเที่ยวนั้นนอกจากเป็นการณ์เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆให้กับตัวเอง และยังเป็นการให้รางวัลกับชีวิตอีกด้วย และเหนือสิ่งอื่นใด การท่องเที่ยวถือเป็น “การลงทุนในความทรงจำของเราเอง”
หากคุณสามารถเก็บเงินในกองแรกครบแล้วและยังมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนจากเงินกองที่สอง คุณก็อาจจะเก็บไว้ที่นี่ก็ได้ เผื่อบางทีคุณอาจจะเก็บเงินดาวน์ซื้อบ้านมันจะได้เก็บได้เร็วยิ่งขึ้น

เงินกองที่ห้า - กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง
เงินก้อนนี้จะเป็นเงินก้อนที่เราจะใช้ในการลงทุนอย่างเดียว คือหากเสียไปก็ไม่ได้ลำบากเรา เพราะเราได้กันไว้หมดแล้ว เราจึงสามารถเต็มที่กับมันได้ คุณจะเลือกลงทุนในตลาดหุ้น, พันธบัตร, ซื้อเงินต่างประเทศเก็บไว้, ซื้อทอง เพราะในประวัติศาสตร์ราคาทองในระยะยาวมีแต่ขึ้นกับขึ้น, กองทุนรวมต่างๆ หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ก็แล้วแต่ความชอบหรือแนวโน้มตลาด ณ ช่วงเวลานั้นของอย่างนี้สอนกันไม่ได้ต้องล้มเองเจ็บเองถึงจะลุกเป็น
ในส่วนวิธีเก็บเงินก้อนนี้ของผม เวลาเงินเดือนออกผมจะตัด 10% ทันทีไว้เพื่อการลงทุน ผมจะเน้นลงทุนในกองทุนรวมเพราะไม่ค่อยมีเวลามาติดตามข่าวสาร จะเลือกลงทุนในกองทุนรวมทองคำ อสังหาและน้ำมัน กระจายความเสี่ยงไปหลายๆทาง และจะเน้นลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่นซื้อที่ดินเก็บไว้ที่ไทย เพราะผมคิดว่าอีกหน่อยประชากรต้องเพิ่มมากขึ้นที่ดินย่อมมีจำนวนจำกัดทำให้มูลค่ามันจะสูงขึ้นไปเอง พูดถึงการลงทุนในอสังหาเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ต้องใช้เงินเยอะ แต่หากคุณสนใจจริงๆ แต่ยังมีเงินไม่มากพอ ผมขอแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหา เพราะจะมีมืออาชีพมาคอยดูแลให้ ซึ่งถือว่าลดความเสี่ยงไปได้เยอะทีเดียวและโดยส่วนมากกำไรที่ได้จะสูงกว่าดอกเบี้ยธนาคารอยู่พอสมควร อยากให้ลองไปศึกษาดู ถ้ารักทางนี้อย่าได้อยู่เฉยเด็ดขาดหมั่นศึกษาหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนบ่อยๆ แล้วจะดีเองเชื่อผม

เงินกองที่หก - กองทุนเพื่อความสบายใจเงินก้อนนี้สำคัญไม่แพ้กองอื่นๆ เพราะมันช่วยให้เรามีความสบายใจว่าเราได้ทำหน้าที่การเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นก็คือความกตัญญูต่อบุพการีที่ท่านเลี้ยงดูเรามา ท่านจะเก็บเงินก้อนนี้อย่างไร มากน้อยเท่าไร ตามแต่สะดวกท่านและหากมีเงินเหลือท่านก็อาจจะนำเงินในส่วนนี้ไปทำบุญหรือบริจาคก็ได้ตามแต่ที่ท่านศรัทธา

เรื่องที่เล่ามานี้ ผมเขียนมาจากประสพการณ์จริงซึ่งอยากถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่าน เผื่อจะเป็นแนวทางในการเก็บออมและการลงทุนเบื้องต้น ผมเองไม่ได้เป็นคนเก่งวิเศษมาจากไหน ยังเป็นมือสมัครเล่นอยู่ มีข้อผิดพลาด และก็วิ่งชนฝาเจ็บตัวก็บ่อย แต่อาศัยครูพักลักจำและศึกษาหาความรู้ด้านการเงินตลอด ทำให้รู้แล้วว่าการลงทุนไม่ใช่ของคนรวยหรือเรื่องไกลตัวเลย มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆก็สามารถที่จะมาลงทุนได้เช่นกัน

ขอบคุณนะครับที่เข้ามาอ่าน หากผิดพลาดประการใดขอความกรุณาชี้แนะด้วยครับ :)

บุญรักษา

TDMS

******* ผมได้ทิ้ง websites ดีๆ เกี่ยวกับการลงทุนหากท่านใดสนใจ ก็เข้ามาศึกษาได้ *******

 *********** การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง โปรดศึกษาให้รอบคอบ **************